PE PB ROE คืออะไร? มือใหม่ต้องเข้าใจให้ได้ก่อนซื้อหุ้น

·

·

ก่อนจะ “กดซื้อหุ้น” สักตัว บอกเลยว่ามีอยู่สามคำที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้จักและเข้าใจให้แจ่มก่อนลงสนามจริง นั่นคือ PE PB ROE เพราะสามตัวนี้มันคือ “หัวใจของการประเมินมูลค่าหุ้น” ที่ช่วยบอกได้ว่าเรากำลังซื้อของดีราคาถูก หรือของแพงที่อาจยังไม่ถึงเวลาเข้าซื้อ วันนี้เราจะคุยกันแบบภาษาคน ไม่ใช่ภาษานักวิเคราะห์ อ่านแล้วเข้าใจง่ายแน่นอน

สำหรับคนขี้เกียจอ่านรายละเอียด อยากอ่านสรุป คลิกที่นี่เลยครับ >>

หุ้น การลงทุน KU Global Lotto

PE คืออะไร?

PE หรือ Price to Earnings Ratio คือ “อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น” เอาง่าย ๆ มันบอกเราว่า หุ้นตัวนี้ราคามันแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้

สูตรคำนวณ:

PE = ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น (EPS)

ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติหุ้น A ราคาหุ้นอยู่ที่ 100 บาท และบริษัททำกำไรได้ 10 บาทต่อหุ้น

PE = 100 ÷ 10 = 10

แปลว่าตอนนี้นักลงทุนกำลังจ่ายเงิน 10 บาท เพื่อซื้อสิทธิ์ในกำไร 1 บาทของบริษัท

แล้วค่า PE ที่ดีควรเป็นเท่าไร?
จริง ๆ มันไม่มีตัวเลขตายตัว ขึ้นอยู่กับ “อุตสาหกรรม” ด้วย เช่น

  • หุ้นกลุ่มธนาคารหรือพลังงาน มักจะมี PE ต่ำ (5–10 เท่า)
  • หุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นเติบโต (Growth Stock) อาจมี PE สูง (20–50 เท่า)

เพราะหุ้นที่มี “โอกาสโตเร็ว” นักลงทุนก็พร้อมจะจ่ายแพงขึ้น แต่ถ้าบริษัทโตช้า ก็ควรมี PE ต่ำ ๆ เพื่อให้คุ้มความเสี่ยง

สรุปแบบสั้น ๆ:

  • PE ต่ำเกินไป → อาจเป็นหุ้นถูก หรือบริษัทเริ่มมีปัญหา
  • PE สูงเกินไป → อาจแพงเกินจริง หรือคนแห่ซื้อเกินเหตุ

สิ่งสำคัญคือ “ต้องเทียบกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน” เช่น หุ้นธนาคารเทียบกับหุ้นธนาคาร ไม่ใช่เอาไปเทียบกับหุ้นเทค

PB คืออะไร?

PB หรือ Price to Book Value Ratio คือ “อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี” พูดง่าย ๆ คือเรากำลังซื้อบริษัทนี้ในราคากี่เท่าของสินทรัพย์ที่มันมี

สูตรคำนวณ:

PB = ราคาหุ้น / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share)

สมมติบริษัท B มีสินทรัพย์สุทธิ (หลังหักหนี้สิน) 1,000 ล้านบาท และมีหุ้นอยู่ 100 ล้านหุ้น

มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น = 1,000 ÷ 100 = 10 บาทต่อหุ้น

ถ้าหุ้น B ราคาตลาดอยู่ที่ 20 บาท

PB = 20 ÷ 10 = 2

หมายความว่าเรากำลังซื้อหุ้นที่ราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าบัญชี 2 เท่า

แล้ว PB ควรเป็นเท่าไหร่ถึงจะดี?

  • ถ้า PB < 1 → หุ้นอาจ “ถูกกว่ามูลค่าจริง” (แต่ก็ต้องดูว่าบริษัทกำลังมีปัญหาหรือไม่)
  • ถ้า PB > 1 → หุ้นอาจ “แพงกว่ามูลค่าทางบัญชี” ซึ่งปกติจะเจอในหุ้นเติบโตหรือบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแรง

เช่น บริษัทเทคอย่าง Apple หรือ Tesla มักมี PB สูงมาก เพราะนักลงทุนเชื่อใน “อนาคตของธุรกิจ” มากกว่าตัวเลขทรัพย์สินที่เห็นในงบ

PB ใช้ดีสุดเมื่อ:
ใช้เทียบกับหุ้นกลุ่ม “สถาบันการเงิน” เช่น ธนาคาร หรือบริษัทประกัน เพราะสินทรัพย์ในงบของพวกนี้มีมูลค่าชัดเจน

ROE คืออะไร?

ROE หรือ Return on Equity คือ “อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น” — บอกว่าเงินทุนที่ผู้ถือหุ้นลงไปในบริษัทนั้น สร้างกำไรได้ดีแค่ไหน

สูตรคำนวณ:

ROE = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น) × 100

เช่น บริษัท C มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท และมีทุนผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท

ROE = (100 ÷ 500) × 100 = 20%

แปลว่าบริษัทใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้น 100 บาท สร้างกำไรได้ 20 บาท ซึ่งถือว่า “โหดใช้ได้เลย”

ROE ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไร?
โดยทั่วไป ถ้า ROE สูงกว่า 10% ถือว่าโอเค
แต่ถ้า 15–20% ขึ้นไป ถือว่าบริษัทนั้นมี “ศักยภาพในการทำกำไรดีมาก”
แต่อย่าลืมว่า ROE สูงมาก ๆ อาจมาจากการ “กู้เงินเยอะ” ก็ต้องดูหนี้สินด้วย ไม่งั้นอาจกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาว

พูดให้เข้าใจง่าย:

  • ROE สูง → บริษัทใช้เงินผู้ถือหุ้นเก่ง กำไรดี
  • ROE ต่ำ → บริษัทใช้เงินไม่คุ้ม อาจบริหารไม่ดีหรืออยู่ในช่วงฟื้นตัว

แล้วทั้งสามตัว PE PB ROE นี้ใช้ร่วมกันยังไง?

ถ้ามองให้เป็นภาพรวม สามตัวนี้คือ “สามพี่น้องสายวัดมูลค่า” ที่ต้องดูพร้อมกัน

ตัวชี้วัด

บอกอะไรเรา

ใช้ยังไงให้คุ้ม

PE

หุ้นแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับกำไร

ดูแนวโน้มกำไรและเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม

PB

หุ้นแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี

เหมาะกับกลุ่มธนาคาร/อสังหาฯ

ROE

บริษัทใช้เงินผู้ถือหุ้นได้คุ้มไหม

ดูความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง

ตัวอย่างการวิเคราะห์เบื้องต้น:

หุ้น A มี PE = 10, PB = 1.2, ROE = 18%
แปลว่าหุ้นนี้ราคาไม่แพงเกินไป และบริษัทก็ใช้เงินสร้างกำไรได้ดี — มีแววว่าน่าสนใจลงทุน

แต่ถ้าเจอแบบนี้

หุ้น B มี PE = 50, PB = 6, ROE = 5%
ก็ต้องตั้งคำถามแล้วว่าราคาแพงไปไหม และบริษัททำกำไรได้คุ้มค่าจริงหรือเปล่า

เคล็ดลับสำหรับมือใหม่

  1. อย่าดูแค่ตัวเดียว — บางคนเห็น PE ต่ำก็รีบซื้อ แต่จริง ๆ บริษัทอาจกำลังขาดทุน หรือกำลังอยู่ในช่วงธุรกิจถดถอย
  2. ดูเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน — หุ้นค้าปลีกกับหุ้นเทคเทียบกันไม่ได้ เพราะธรรมชาติธุรกิจต่างกัน
  3. ดูแนวโน้มย้อนหลัง 3–5 ปี — ถ้า ROE ดีต่อเนื่อง แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ
  4. อย่าลืมดูหนี้สิน — ROE สูงแต่มีหนี้เยอะ อาจไม่ปลอดภัยในระยะยาว
  5. ใช้ควบคู่กับข้อมูลจริงในตลาด เช่น ข่าวเศรษฐกิจ ผลประกอบการ หรือแผนขยายธุรกิจ

สรุปสั้น ๆ PE PB ROE คืออะไร?

  • PE (ราคา) → ดูว่าหุ้นแพงหรือถูกเทียบกับกำไร
  • PB (ทรัพย์สิน) → ดูว่าหุ้นแพงหรือถูกเทียบกับสินทรัพย์
  • ROE (ฝีมือบริหาร) → ดูว่าบริษัทบริหารเงินผู้ถือหุ้นเก่งไหม

ทั้งสามตัวนี้เหมือน “เครื่องมือชี้นำทิศทาง” ให้เราตัดสินใจได้ฉลาดขึ้น ก่อนจะลงเงินซื้อหุ้นจริง

นอกจากตลาดหุ้นแล้ว ยังมีอีกโลกหนึ่งที่คนไทยนิยมเสี่ยงโชคอย่างมีหลักการเช่นกัน นั่นคือ “หวยออนไลน์”
ถ้าอยากลองเสี่ยงโชคแบบปลอดภัย ถูกกฎหมาย และมีระบบโปร่งใส ลองดูที่ Global Lotto เว็บหวยออนไลน์ที่จ่ายสูง จ่ายจริง ไม่ต้องรอเจ้ามือ แค่มีมือถือก็แทงได้ มีทั้งหวยไทย หวยฮานอย และหวยลาวพัฒนาให้เล่นทุกวัน

เพราะไม่ว่าจะลงทุนหุ้นหรือเสี่ยงโชคกับตัวเลข “ความเข้าใจ” คือกำไรตัวแรกที่เราควรได้ก่อนใครเสมอ



Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *